[2020] The Year in Review

Ton Tosirikul
2 min readJan 1, 2021

--

ปีนี้เป็นปีแรกครับที่เขียนรีวิวตัวเองในปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นปีที่ผมโดนมาเยอะและเจ็บหนักมาก แต่ได้เรียนรู้บทเรียนอะไรหลายๆอย่าง ผมจึงอยากแชร์ให้อ่านกันครับ เผื่อจะมีใครได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ผมเรียนรู้หรือเจอมาครับ

Photo by Danil Aksenov on Unsplash

1. การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ก่อนปีใหม่ 2020 ผมเลิกกับแฟนที่คบกันมานานหลายปี ช่วงนั้นผมเละมากครับ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพ้อมาก วันๆไม่เป็นอันทำอะไร ตอนกลางคืนนอนร้องไห้ทุกวัน

ถ้าเกิดใครเคยเป็นแบบผม ผมอยากให้กำลังใจและบอกว่า มันจะเป็นแค่ช่วงแรกครับ อย่าพยามเปลี่ยนสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร

สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การถามหาเหตุผลว่าทำไมหรือการอ้อนว้อนขอโอกาสให้สิ่งนั้นกลับมาเหมือนเดิม สิ่งที่เราทำได้คือการรับรู้มามันเกิดขึ้นแล้วและอยู่ร่วมกับความรู้สึกนั้นจนเราจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและปล่อยมันผ่านไป

ความเสียใจจะหายไป แต่เกรดอยู่ตลอดการ

สุดท้ายแล้วเรื่องแย่ๆจะผ่านไป อาจจะไม่ใช่ในตอนนั้นแต่ตัวเราเองจะดีขึ้นแน่นอน (ซึ่งผมก็ดีขึ้นจริงๆ) เราอาจจะเหงาแต่ออย่างน้อยพึงระลึกไว้เสมอว่า เรามีความฝันเป็นเพื่อนเสมอนะครับ

รูปนี้ไม่ได้อกหักนะครับ แค่เมาเฉยๆ ตลกดีและดูน่ารักดีครับ

2. การตัดสินใจออกจาก Comfort zone

พอผ่านช่วงแย่ๆไปผมก็กลับมาโฟกัสการเรียนครับ โดยส่วนตัวผมก็เรียนในห้องเต็มที่ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังอยากหาประสบการณ์นอกห้องเรียน แต่ปัญหาของผมคือผมมีความสุขกับการเรียนไปเรื่อยๆชิวๆมากกว่าการเรียนรู้จากปัญหาจริงที่มีความกดดัน

พอมีโอกาสได้เจอการทำงานจริง โปรเจคจริง สิ่งแรกที่ผมรู้สึกคือผมกลัวมาก กลัวเข้าไปทำแล้วผิดพลาด กลัวไม่มีเวลานอน กลัวไม่มีเวลาออกกำลังกาย กลัวไปหมด

ตอนนั้นผมนอนคิดถึงแต่เรื่องนี้ซ้ำๆไปๆมาๆว่าจะเอายังไงดีจนผมคิดว่า ถ้าลังเลแบบนี้แปลว่าใจนึงเราเองก็อยากจะออกจาก Comfort zone เหมือนกัน เพราะถ้าไม่สนใจจริงๆคงไม่เก็บมาคิด นอนคิด นั่งคิด ขนาดนี้

ท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจออกจาก Comfort zone ไปทำเรื่องที่ผมไม่เคยทำ ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตหลังตัดสินใจจะเป็นยังไง แต่ในตอนที่ตัดสินใจผมรู้สึกดีแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนได้เติบโตขึ้นเพราะได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ

สุดท้ายถ้าเกิดมีปัญหาหรืออะไรจริงๆ ผมคิดว่าก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง เพราะผมเชื่อว่านี่เป็น Process ที่ทำให้ผมโตขึ้นและรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น

Photo by Tudor Baciu on Unsplash

3. วิธีหาเหตุผลให้ตัวเองออกกำลังกาย

ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะรู้สึกว่าตัวเองยุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกายครับ ยิ่งเป็นนักศึกษาช่วงสอบยิ่งไม่มีใครอยากไปเข้ายิมเลย แต่ผมเชื่อ(และชักชวนให้เชื่อ)ว่าร่างกายคือเครื่องยนต์ที่เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่ม Productivity เช่น ถ้าเรานอนน้อย เราอาจจะเรียนรู้ในวันต่อมาได้ไม่ดี เป็นต้น

ปี 2020 เป็นปีที่ผมได้ใช้บริการ Online Coaching ในเรื่องสุขภาพ ผมจึงได้ออกกำลังกายทุกวัน นอน 7–8 ชั่วโมง และกินอาหารที่มีประโยชน์ ผมทำเป็นนี้เป็นประจำและค้นพบว่า การออกไปวิ่งตอนเย็นช่วงสอบช่วยลดความเครียดได้ดีเลยครับ แถมไม่ได้กระทบกับภาระงานตรงหน้าถ้าเรามีวินัยและแบ่งเวลาดีๆ

สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองยุ่งมากผมแนะนำให้ปี 2021 ตัดสินใจจ่ายเงินเข้ายิมหรือเริ่มออกกำลังกายได้เลยครับ ในระยะยาวผมเชื่อว่าเป็นผลดีแน่นอนครับ

Photo by Victor Freitas on Unsplash

4. เรียนรู้การใช้เศษของเวลา

ผมชอบอ่านหนังสือ Non-fiction และฟัง Podcast มากครับ แต่เวลาหลังจากเลิกเรียนน้อยมาก ผมจึงใช้เทคนิคการใช้เศษเวลาในการอ่าน เช่น เวลาผมเข้าเมืองจาก Airport link ลาดกระบังไปพญาไท ผมจะไม่เล่นมือถือแล้วหยิบหนังสือที่ซื้อมาอ่าน หรือเวลาเข้าห้องน้ำผมก็จะอ่านหนังสือเช่นกัน

การใช้เศษเวลานั้นมีพลังอย่างมากตรงที่ว่าเรารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ progress ไปเยอะแล้วในเศษเวลานั้นๆ ผมอยากให้มองว่าทุกคนล้วนมีเวลากับให้เรื่องสำคัญครับ อย่าดูถูกเศษเวลาหลังทานข้าวเที่ยง เข้าห้องน้ำ หรือเดินทาง เพราะเวลาเหล่านั้นทำอะไรได้เยอะจริงๆ

5. Reflect เป้าหมายในปีก่อนๆ

ปีก่อนผมตั้งเป้าว่าจะเรียนจบ course นู่นนี่นั่นแต่พอเราเรียนหนังสือไปเรื่อยๆก็ค้นพบว่าเป้าหมายเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา จากที่ผมโฟกัสว่าผมอยากเรียน course อะไรให้จบ ผมเปลี่ยนเป็นอยากทำอะไรแล้วก็หา course ที่เหมาะสมมาช่วยส่งเสริมแทน

เรื่องสุขภาพเช่น มี Sixpack อันนั้นก็ยังไม่สำเร็จ ยอมรับว่านอยตัวเองว่าทำไมทำไม่ได้สักทีจนมองข้ามว่าตัวเองน้ำหนักลดและหุ่นดีขึ้นทำไมไม่ดีใจบ้าง

ท้ายที่สุดผมก็คิดว่าเรายังต้องทำต่อไป เพราะเราไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะมาตอนไหน แต่อย่าหยุด อย่าท้อ ใจดีกับตัวเอง และทำอย่างสม่ำเสมอ ท้ายที่สุดดอกไม้ที่เราปลูกก็จะบานเองครับ

Photo by Green Chameleon on Unsplash

6. “ก็มาดิครับ” Mindset ของคนไม่มีความมั่นใจ

เนื่องจากข้อสองที่ผมเล่าไปว่าผมออกจาก Comfort zone ปัญหาเยอะมาก เจอเรื่องนู้นเรื่องนี้ สำหรับคนที่กังวลขี้กลัวแบบผมถือว่ามันยากลำบากมาก แต่ท้ายที่สุดผมค้นพบว่ามันก็ผ่านไป มีปัญหาก็แค่แก้ไข อย่าตื่นตระหนก

ส่วนชื่อ Mindset ก็มาดิครับ มาจากเวลาที่ผมเจอปัญหาที่ไม่ถูกใจ หรืออะไรที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง ผมจะหายใจลึกๆแล้วพูดกับตัวเองว่า “ก็มาดิครับ เรื่องแค่นี้เอง คิดว่ากลัวหรอ” (อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่เป็นการย้ำบอกตัวเราว่าเราทำได้)

ที่ผมอยากบอกก็คือไม่ว่าเจอปัญหาอะไร ขอให้ตั้งสติ พิจารณาว่าเราจะทำอย่างไรได้บ้าง อย่า panic อย่าท้อ แต่ให้พยายามให้มากครับ

Photo by Hermes Rivera on Unsplash

ส่งท้ายด้วย ใจดีกับตัวเองและให้อภัยตัวเองบ้าง

ผมยอมรับว่าเป็นคนที่เครียดง่ายเวลาตัวเองทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แต่ชีวิตไม่ได้หมายความว่าจะต้องจริงจังตลอดเวลา ใจดีกับตัวเองบ้าง ให้อภัยตัวเองบ่อยๆ คอยบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เหมือนที่เราทำเวลาพูดกับคนอื่นให้รู้สึกดี

ผมอยากบอกว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเราเองนี่แหละที่อยู่กับเราไปตลอด ใจดีกับตัวเองให้มาก แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้นครับ

รูปนี้ยิ้มดูมีความสุขดีครับ

สำหรับปี 2020 ผมรู้สึกว่าตัวเองก้าวกระโดดในหลายๆเรื่อง อาจจะไม่ได้เก่งมากแต่ผมเชื่อว่าตัวผมเองก็ดีกว่าเดิมในปีที่ผ่านมาๆ สำหรับเรื่องแย่ๆที่ผ่านมา ให้เรามองว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากมัน ในปีต่อๆไปผมก็จะพยายามให้มากขึ้น มีวินัยมากขึ้น และใจดีกับตัวเองมากขึ้นครับ

ขอบคุณที่อ่านจนจบและ Happy New Year ครับ

--

--

Ton Tosirikul
Ton Tosirikul

Written by Ton Tosirikul

Backend Developer at EMIT | Software Development graduate at the University of Glasgow

No responses yet